โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) คืออะไร?

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) คืออะไร? อาการ สาเหตุ และการป้องกัน

แอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงที่มีต้นกำเนิดจากเชื้อ Bacillus anthracis มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว แพะ แกะ และม้า โดยสามารถแพร่สู่คนผ่านทางผิวหนัง การหายใจ หรือการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคนี้

สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์
โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งสามารถสร้างสปอร์ที่มีความทนทานสูง

  • สปอร์สามารถอยู่ในดินได้นานกว่า 10 ปี

  • ทนต่อความร้อน กรด ด่าง และสารเคมี

  • เคยถูกใช้เป็น “อาวุธชีวภาพ” ในบางกรณี

การติดต่อของโรคแอนแทรกซ์ มนุษย์สามารถติดเชื้อได้จาก:

  • สัมผัสสัตว์หรือซากสัตว์ที่ติดเชื้อ

  • สูดดมสปอร์ของเชื้อที่ปนเปื้อนในอากาศ

  • กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ

ระยะฟักตัวของเชื้อ
โดยทั่วไปประมาณ 1–7 วัน หลังสัมผัสเชื้อ

อาการของโรคแอนแทรกซ์ แยกตามช่องทางการติดเชื้อ
1. แอนแทรกซ์ทางผิวหนัง (Cutaneous Anthrax)

  • เริ่มจากตุ่มแดง → ตุ่มน้ำ → แผลสีดำตรงกลาง

  • รอบแผลบวม แต่ไม่เจ็บ

  • มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยเล็กน้อย

2. แอนแทรกซ์ทางระบบหายใจ (Inhalation Anthrax)

  • ไข้สูง ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด

  • รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหากไม่รักษา

3. แอนแทรกซ์ทางระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax)

  • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด

  • ถ่ายเป็นเลือด อาจเกิดภาวะช็อก

 

อัตราการเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์

ช่องทางติดเชื้อ อัตราการเสียชีวิตหากไม่รักษา
ทางผิวหนัง ประมาณ 20%
ทางเดินอาหาร ประมาณ 60%
ทางหายใจ มากกว่า 95%

 

การรักษาและการป้องกันโรคแอนแทรกซ์

  • หากสงสัยว่ามีผู้ติดเชื้อ ควรรีบแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขทันที

  • ให้การรักษาด้วย ยาปฏิชีวนะ อย่างเร็วที่สุด

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์หรือซากสัตว์ที่ติดเชื้อ

  • มีวัคซีนป้องกันสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ทำงานในฟาร์มหรือห้องทดลอง

 

โรคแอนแทรกซ์อันตรายแค่ไหน?
แอนแทรกซ์เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่สามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ และมีอัตราการเสียชีวิตสูงโดยเฉพาะในกรณีที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ การเฝ้าระวัง ป้องกัน และเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที คือกุญแจสำคัญในการลดความรุนแรงของโรค

ผู้เขียนบทความ: พญ.ปิยกานต์ ลิมธัญญกูล แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง ว.22606 ประจำพรเกษมคลินิก

อ้างอิง

  • Sangwan N. et al. (2025)

  • McLarney RM. et al. (2025)

  • Doganay M. et al. (2010)

icon